วัวธนู และ ควายธนู
มีตำนานเล่ากันมาตั้งแต่โบราณว่าเป็นศาสตร์โยคะ แพร่หลายอยู่บางแคว้นของประเทศอินเดีย และ ใน กาฬทวีปของประเทศคองโก ตลอดจนแถบแม่นํ้าแอมะซอน (Amazon) และในทวีปเอเชีย มีอยู่ในประเทศกัมพูชา (เขมร) และ ไทย ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน)
โดยบางครั้งเรียกว่าไสยดำ หรือ มนต์ดำ เป็นเดรัจฉานวิชา แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นวิชาของสัตว์เดียรฉานหรือวิชาพวกเดียรถีย์ หรือ เรียกว่า วิชาขวางกั้นหนทางไปสู่นิพพาน และยังรวมทั้งวิชาเสกหนังควายเข้าท้อง บังฟัง การสะเดาะโซ่ตรวน ซึ่งผู้มีวิชาอาคมมักจะเลี้ยง พวกทหารผีเอาไว้เฝ้าบ้านและคุ้มครองป้องกันภัย โดยแต่ละเกจิอาจารย์ ผู้มีอาคมสูงจะใช้คาถากำกับและมีพิธีกรรมเซ่นไหว้ เพราะว่ามีดวงวิญญาณ สิงสถิตอยู่ หากไม่ทำการเซ่นไหว้แล้ว จะทำให้วัตถุเครื่องรางของขลังนั้น ไม่มีเรี่ยวแรง ไม่มีอำนาจ ฤิทธิ์เดช หมดกำลัง หรือถอดใจไม่อยากทำงานให้ เลยทีเดียว การเซ่นไหว้แต่ละวัตถุเครื่องรางของขลังจะเหมือนกัน
สำหรับการเซ่นไหว้ควายธนู ผู้ที่เป็นเจ้าของและมีอาคมอย่างแรงกล้า จะทำการถวายหญ้าคา จำนวน 7 ก้าน หรือ 7 ใบ หญ้าคาแต่ละใบ จะขมวดปมที่ปลาย ขณะขมวดปลายนั้นจะกลั้นลมหายใจด้วย พร้อมกับบริกรรมท่องพระเวทย์ด้วยคำว่า
"อุปคุตมัดมาร อิมังอังคะพันธะนังอธิฏฐามิ"
เมื่อบริกรรมพระคาถานี้เสร็จ ให้เป่าลมปราณอาคมปะจุใส่ลงในปมปลายหญ้าคาทั้ง 7 ใบ แล้วถวายนํ่้าเปล่า 1 แก้ว หากครบเวลาเมื่อกล่าวลา ให้เอานํ้าเปล่าที่ถวายความธนู ไปพรมบริเวณหน้าร้านขายของดีนักแล ห้ามเอานํ้าในจอกไปเททิ้งโดยเด็ดขาด
คาถาบริกรรมปลุกเสกควายธนูมีดังนี้
ครูบาอาจารย์เจ้าของวิชาบอกว่า ใครจะใช้คาถาบทนี้ จะต้องสวดมนต์บูชาคุณพระศรีรัตนตรัย
นะโมตรัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะ
นะโมตรัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะ
นะโมตรัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะ
เริ่มคาถาใช้บริกรรม
อมโคโนงัวทะนูผู้หน้ายาวกว้างศอก ตาปอกฮอบเขาเสมนกูผาบสาม
แผ่นฟ้าก็อ่อนค้อมมา สู่สมพานกู ทั้งค่ายบ่อ ทำฮ้ายแก่กูสู ชาวเมือง
บนแลลุ่มฟ้าถ้วนหน้าให้มาถวาย ตัวกูมากบ่อให้ยากหมู่ทาสี ให้กูมีไซ
ทุกคํ่าซ้าวให้กูได้เป็นเจ้า ไผจัดเจ้าให้มาโลมเลี้ยงกู ให้อ่อนอ่อนฮ้อย
ท่อนท้าวมาถวายกูยียาบ กูจักผาบแพ้สับพะหมู่ศัตรู งัวทะนูเป็นวัสสุ
โพลาดอาจพายแพ้เท่าซึมซม ภูอมกูจะให้นกนกก็ฮ้อง อมกูจะให้ฆ้อง
ฆ้องก็ดัง ผมกูจะให้คนคนก็ฮ้องซักไซ่คิดถึงกู ชาวชมพูฮักฮูบกูสู่คน
ฮูปปู่กูให้แทนเมืองสมพานเชืองคงขอบพัยฟ้าหมู่มนตรีให้เขาอ่อนหาก
กูดังช้างอ่อนขอ ให้อ่อนหากูปานปอแสนํ้าอมโฟเฟ้าอมโพเจ้าเข่าสู่โพโซ
อมเมตตัยยะมาเป็นครูกู กูจักปุกงัวทะนูให้รักษาลือชา โอมสาวหะ
**ประสบการณ์เกี่ยวกับ วัวธนู และ ควายธนู**
ไสยศาสตร์เกี่ยวกับความเชื่อของวัวธนูและควายธนูของคนสมัยก่อนนั้นมีมูลความเป็นจริง ซึ่งผู้เล่านามสมมุติชื่อลุง จอย แกเป็นลูกศิษย์ของหลวงลุงที่เป็นพระเกจิ ผู้เรืองคาถาอาคมได้ได้เล่าประสบการณ์ในอดีตว่า ลุงจอยแกจะเชื่อเฉพาะสิ่งที่แกเห็นด้วยตาตัวเองเท่านั้นหากเป็นคำพูดของคนอื่นแล้วแกจะไม่เชื่อ หรือหากจะเชื่อก็เชื่อเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ เคยมีคนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟังว่า เรื่องวัวธนูและควายธนู เมื่อก่อนในหมู่บ้าน มีผู้เรืองคาถาอาคมเลี้ยงไว้ ยังเคยเห็นวัวธนู และ ควายธนู ที่หมอคุณไสยปล่อยออกมา แต่มันไม่ทำอันตรายชาวบ้าน หากเพียง แต่ปรากฏตัวพุ่งทะยานออกไปที่ไหนไม่มีใครรู้ ตอนแรกคิด ว่าวัวหรือควาย ใครหลุดออกมาเพ่นพ่านตอนกลางคืนยามดึก ๆ ครั้นพอเพ่งสายตามองดู กันเต็มตามันไม่ใช่วัวและควายของชาวบ้านนี่ หากแต่มันเป็นวัวธนู และควายธนูทุกคนต่างพากันหวาดกลัว รีบยก มือพนมไหว้บอกวัวธนูและควายธนูอย่าได้ทำร้ายเลย
นั่นเป็นคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ที่ลุงจอยได้ยินมา แต่ยังไม่เชื่อว่าเรื่องเล่านี้จะเป็นเรื่องจริง จนคนเฒ่าคนแก่ที่เคยเล่าเรื่องวัวธนู และ ควายธนู ค่อย ๆ ตายไปทีละคน ลุงจอยแกก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น และได้ไปอยู่วัดกับหลวงพ่อที่เป็นลุงของแก ซึ่งบวชตั้งแต่สามเณร จนเป็นพระ กระทั่งดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัด ลุงจอยแกทำหน้า ที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงลุงคอยรับใช้ท่าน เนื่องจากหลวงลุง มีอายุมากขึ้น ซึ่งลุงจอยก็พอรู้ว่าหลวงลุงเป็นผู้เรืองคาถาอาคมรูปหนึ่งแต่ว่ายังไม่เคยเห็นหลวงลุงสำแดงอิทธิฤทธิ์อิทธิเดช ให้เห็นด้วยตาของลุงจอย สักครั้ง
จนกระทั่งคืนหนึ่ง ลุงจอยกับเจ้าแกละหลายชายนอนกางมุ้งหลับอยู่ใกล้ ๆ หน้าประตูที่เปิดแง้มของหลวงลุง หูลุงจอยแว่นได้ยินเสียงวัวหรือควาย นี่แหละ ร้อง มอ ... มอ... ดังมาจากลานวัด ในใจของลุงจอยก็คิดว่าคงเป็นวัว หรือ ควาย ของชาวบ้านคนไหนหลุดมาจากคอกแล้ว วิ่งมาอยู่ที่วัดละมั้ง แต่ด้วยความอยากรู้ ลุงจอยจึงปลุกเจ้าแกละให้ลุกขึ้นไปเป็นเพื่อนกัน แต่ปลุกเท่าไร เจ้าแกละก็ไม่ยอมตื่น มันนอน ขี้เซาจริง ๆ ถ้าไฟไหม้กุฏิหลวงลุงมันคงตายคากองไฟแน่
เมื่อปลุกเจ้าแกละไม่ตื่นซักที ลุงจอยจึงตัดสินใจคว้าไฟฉายที่วางอยู่ ข้าง ๆ ตัวถือลุกขึ้นเดินลงกุฏิ ส่งไฟฉายกราดไปทั่ว เพื่อจะดูว่าเป็นวัว หรือควายของใครที่หลุดมาที่นี่ แล้วลุงจอยก็ต้องสะดุงโหยงเมื่อไฟฉายส่องไปกระทบกับร่างของ วัวตัวหนึ่ง ลักษณะ ตัวมันกำยำ มียันต์ และ อักขระคาถา อาคม แบบ ขอมเต็มตัว ลุงจอยจ้องมองเพื่อให้แน่ชัดว่าสิ่งที่แกเห็นนั้นเป็นวัว ที่ไม่ใช่วัวทั่วไปที่เข้าเลี้ยงกัน ซักพัก วัว ตัวนั้นที่แกส่งไฟฉายไปเจอ ก็ส่งเสียงร้อง มอ... มอ... ไม่กี่อึดใจ มันก็พุ่งทะยาน ไปสู่อากาศ ลับหายไปทาง กุฏิของหลวงลุงเท่านั้นแหละ ลุงจอยแกตั้ง สติได้ แกรีบวิ่งขึ้นกุฎิของหลวงลุง ซึ่งเป็นกุฏิหลังเดียวที่ วัวธนูตัวนั้น หายเข้าไป คืนนั้นลุงจอยแกนอนไม่หลับทั้งคืน ครุ่นคิดถึงสิ่งที่แกเห็น ด้วยตาตัวเอง ทำให้หวนย้อนคิดไปถึงคำพูดของคนเฒ่าคนแก่ ที่เคยเล่า ให้แกฟังเรื่อง วัวธนู และ ควายธนู มันเป็นเรื่องจริงนี่นา ไม่ใช่เป็นเพียง ตำนานมาเล่าหลอกคนรุ่นหลังแน่ ทำให้ลุงจอยเชื่อเรื่องวัวธนู และ ควายธนู
ตามที่แกได้ฟังมา
เรื่องที่แกเห็นวัวธนู คืนนั้น แกไม่กล้าเล่าให้หลวงลุงฟัง ลุงจอยแกเก็บ ไว้ในใจเพียงคนเดียว ก่อนจะเอาเรื่องนี้ไปถามพ่อ ถึงได้รู้ความจริงว่าหลวงลุง เลี้ยง วัวธนู และ ควายธนู ตัวนี้ จริง และ วัว ที่ลุงจอยเห็นนั้นเป็น วัวธนู ของหลวงลุงที่ปล่อยมาคุ้มครองรักษาวัด มิให้ขโมยมาลักทรัพย์สิน ของวัด เมื่อก่อนของในวัดมักจะหายประจำ หลังจากที่หลวงลุงปล่อยวัวธนู ออกมาไม่มีของภายในวัดหายอีกเลย
อีกทั้งวัวธนูสามารถป้องกันเภทภัยจากคุณไสยมนต์ดำ ที่อาจจะมีหมอผี หมอคุณไสยบางคนอยากจะลองดีปล่อยของมนต์ดำมาเพ่นพ่าน แล้วของมนต์ดำอาจจะหลุดเข้ามาในวัดทำร้ายหลวงลุง หรือ พระ กับสามเณร ได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นหลวงลุงจึงต้องใช้วัวธนู เป็นยามคอยป้องกันภัยจาก คุณไสยมนต์ดำที่เป็นเดรัจฉาน อวิชา ของผู้ไม่หวังดี
เพราะหมอผี หมอคุณไสยบางคนไม่คิดและไม่คำนึงว่า จะเป็นพระหรือชาวบ้าน หากไม่พอใจแล้วละก็ จะปล่อยของคุณไสยมนต์ดำใส่ ที่หลวงลุงทำเช่นนี้ไม่ผิดวินัยของสงฆ์ ถือว่าเป็นการป้องกันตัวและป้องกันทรัพย์สิน ของวัดมิให้ถูกคนมาขโมยไป คำพูดของพ่อ ทำให้ ลุงจอย แกหู ตาสว่าง ตั้งแต่นั้นมาแกเชื่อเรื่อง วัวธนู และ ควายธนู มาจนถึงบัดนี้
ท่านผู้ใดจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้แต่อนุโมทนาสาธุ เป็นสิทธิของแต่ะท่าน ครับ...
---สาธุ---

0 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น